28.1.51

7 วิธีลดอาการ เจ็บหัวนม-หัวนมแตก

เรื่องราวของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังคงเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีแม่มือใหม่แวะเวียนเข้ามาในแวดวงของคุณแม่อยู่เสมอ ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงต้องมีการบอกกล่าวเล่าขานกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอาการเจ็บหัวนม หัวนมแตก เป็นอาการที่อาจจะทำให้คุณแม่หลายคนหมดความอดทนที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เลยก็มี ฉบับนี้จากอกแม่จึงมีเคล็ดลับดีๆ มาบอกค่ะ
1. ให้ลูกดูดนมแม่ในท่าที่ถูกต้องควรจำไว้ว่าจมูก แก้ม และคางของลูกควรสัมผัสกับเต้านม ริมฝีปากของลูกควรแบะออกเหมือนปลา
2. ถ้าเต้านมของคุณแม่คัด ให้บีบน้ำนมออกมานิดหน่อยเพื่อให้เต้านมนิ่มขึ้น
3. เริ่มให้ลูกดูดนมจากข้างที่เจ็บน้อยที่สุดก่อน ถ้าทั้งสองข้างเจ็บเหมือนกัน ให้เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาประคบและนวดเต้านมเบาๆ เพื่อให้น้ำนมเริ่มไหลออกมา
4. ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้นทุก 1-2 ชั่วโมง ควรลดเวลาที่จะดูดให้สั้นลงเหลือประมาณ 10-15 นาทีหรือจนกว่าเต้านมจะนิ่ม
5. อุ้มลูกให้กระชับกับหน้าอกเพื่อไม่ให้ลูกดึงหัวนม และอย่าลืมลดแรงดูดของลูกออกก่อนที่จะเอาหัวนมออกจากปากลูก
6. ไม่ต้องล้างหัวนมก่อนให้ลูกดูดนม เพราะการล้างด้วยน้ำเปล่าบ่อยๆ สามารถทำให้ผิวแห้งได้
7. หลังการให้นมลูกทุกครั้งบีบน้ำนมเหลือหรือน้ำนมแม่ทาบนลานนมและหัวนมทั้งสองข้าง แต่ถ้าอยากให้ผิวชุ่มชื้นคุณแม่อาจใช้ลาโนลินเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว อย่าใช้สบู่ ครีม หรือน้ำมันนะคะ
เทคนิคการบีบนมแม่
ระวังเรื่องความสะอาด ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเสมอ
หามุมสงบ ผ่อนคลาย จะช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำนม
นวดเต้านมเป็นวงกลมไปรอบๆ ตามด้วยการบีบเบาๆ เริ่มจากบริเวณขอบนอกของเต้านมเข้ามายังบริเวณหัวนมแม่อาจประคบเต้านมด้วยผ้าชุบน้ำร้อน 3-5 นาที ก่อนนวดเต้านม จะทำให้น้ำนมไหลดีขึ้น
กระตุ้นหัวนมเบาๆ โดยการใช้นิ้วดึงและคลึงหัวนม
บีบน้ำนมออก โดยใช้นิ้วหัวแม่มือวางบนลานหัวนมด้านบน ส่วนนิ้วที่เหลือวางด้านตรงข้าม กดเข้าหาทรวงอกก่อนแล้วค่อยๆ บีบนิ้วเข้าหากัน น้ำนมแม่จะไหลออกมา
ทำซ้ำใหม่ กด-บีบ-ปล่อย เป็นจังหวะไปรอบๆ โดยย้ายตำแหน่งที่วางนิ้วไปบริเวณรอบเต้านม เพื่อให้น้ำนมไหลออกจากกระเปาะน้ำนมทุกอัน
เก็บใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ทำความสะอาดภาชนะสำหรับใส่น้ำนมให้สะอาดทุกครั้งก่อนใช้
เมื่อบีบน้ำนมเสร็จแล้ว ให้ใช้น้ำนม 2-3 หยด ป้ายหัวนมแต่ละข้าง ปล่อยให้แห้ง แล้วจึงใส่ยกทรง
หากมีอาการรุนแรงอย่างหัวนมแตกหรือมีเลือดไหลควรปรึกษาสูติแพทย์ผดุงครรภ์ พยาบาล หรือผู้เชี่ยวชาญขอรับคำแนะนำที่ถูกต้อง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องให้ลูกดูดนมต่อ หรือบางครั้งต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อระงับการอักเสบติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้แต่เพียงแค่ช่วง 3-4 วัน เท่านั้นแล้วทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลค่ะ


ที่มา..นิตยสารบันทึกคุณแม่

7 วิธีการดูแลตัวเองหลังคลอด


คุณแม่หลังคลอดทุกท่านมีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองและของลูกน้อย จึงไม่แปลกเลยที่คุณแม่หลังคลอดหลายท่านมักมีความกังวล และมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า แต่ความเป็นแม่จะแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ไม่บ่อยนัก การทำตัวให้กระฉับกระเฉง ทำใจให้สบาย คิดเสียว่านั่นคือหน้าที่สำคัญของคนเป็นแม่ สิ่งที่แม่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย มาดูว่าหลังคลอดควรดูแลอะไรเป็นพิเศษ
1. อาหาร คุณแม่ควรรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องใช้ในการสร้างน้ำนมให้ได้ตามความต้องการของลูกน้อย อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ นม ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 2-3 แก้ว ผลไม้ ถั่ว แป้ง เนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ควรลดอาหารรสจัด ของหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสามารถขับออกมาทางน้ำนมได้
2. การพักผ่อน หลังจากที่คลอดลูก แม่จะมีความอ่อนเพลีย เป็นเพราะการสูญเสียพลังงานจากการคลอดและการดูแลลูก ฉะนั้นแม่ต้องแบ่งเวลาหรือหาเวลาเพื่อพักผ่อนบ้างในช่วงกลางวัน ขณะที่ลูกน้อยหลับ แม่ก็ควรจะได้หลับซัก 1-2 ชั่วโมง
3. การดูแลความสะอาดหลังคลอด สำหรับแม่ที่ให้นมหลังคลอดน้ำนมจะไหลเปรอะเปื้อน ฉะนั้นก่อนและหลังให้นมแม่ควรเช็ดทำความสะอาดหัวนมด้วยน้ำต้มสุก เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันไม่ให้น้ำนมเกาะติดหัวนม ซึ่งอาจจะทำให้หัวนมแตกได้ ที่สำคัญแม่สามารถอาบน้ำ แปรงฟัน สระผมได้ตามปกติ
4. การดูแลแผลฝีเย็บ จะสังเกตเห็นว่าหลังคลอดจะมีน้ำคาวปลาไหลออกมาทางช่องคลอด วันแรกๆ จะมีสีแดง และสีจะค่อยๆ จาง และจะหมดไปภายใน 6 สัปดาห์ แม่หลังคลอดควรจะสวมผ้าอนามัยดูแลทำความสะอาดด้วยสบู่และล้างให้สะอาด สำหรับแม่ที่คลอดลูกผ่านทางช่องคลอด นอกจากทำความสะอาดดังที่กล่าวแล้ว ควรนั่งแช่น้ำอุ่นหรือปล่อยให้น้ำอุ่นไหลผ่านแผลฝีเย็บ ซึ่งอาจจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ และช่วยกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น
5. การดูแลแผลผ่าตัด กรณีที่แพทย์ผ่าตัดติดพลาสเตอร์ซึ่งกันน้ำไม่ได้ คุณแม่ต้องระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ คุณแม่อาจจะต้องเช็ดตัวไปก่อน แต่ถ้าแพทย์ติดพลาสเตอร์กันน้ำก็สามารถอาบน้ำได้เลย แต่ห้ามอาบน้ำอุ่นห้ามถูบริเวณที่ติดพลาสเตอร์และถ้าพลาสเตอร์หลุดให้รีบมาพบแพทย์ทันที โดยแพทย์จะนัดเพื่อดูแผลผ่าตัดอีกครั้ง หลังกลับบ้านไปแล้ว 1 สัปดาห์หรือ 6 สัปดาห์
6. การมีเพศสัมพันธ์ หลังจากคลอดแม่อาจจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการคลอด และความเครียดกับการปรับตัวเป็นแม่ การเจ็บแผล และมีน้ำคาวปลาทำให้ไม่พร้อม ซึ่งแม่และพ่อควรปรับตัวเข้าหากันและแสดงออกอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามเพื่อให้แน่ใจว่าแผลในช่องคลอดและโพรงมดลูกหายสนิทแล้ว แม่ควรได้รับการตรวจเช็คร่างกายหลังคลอดจากแพทย์ก่อน โดยทั่วไปแล้วจะมีการนัดมาตรวจหลังคลอด 6 สัปดาห์
7. อาการผิดปกติ เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เต้านมอักเสบ ปวดบวม แดง ร้อน น้ำคาวปลาไหลปริมาณมาก มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบ ขัด ขุ่น ปวดท้อง อาการดังกล่าวให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน


4 เรื่องยอดฮิตของแม่ตั้งครรภ์

อาการเหล่านี้เป็นอาการที่แม่ตั้งครรภ์ต้องเจอะเจอทุกคน เพราะเมื่อคนเราตั้งครรภ์สิ่งต่างๆ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่สรีระอารมณ์รวมถึงฮอร์โมน สิ่งเหล่านี้จะแปรปรวนไปหมด แต่ก็ไม่เรื่องร้ายแรงและอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อคุณได้คลอดลูกออกมาแล้วนั่นเอง
1. อาการชาที่ปลายนิ้ว ชาที่ปลายนิ้วขณะตั้งครรภ์ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะตั้งครรภ์ทั่วๆ ไปซึ่งคุณแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ เกิดเนื่องจากเส้นประสาทซึ่งในยามปกติเส้นประสาทจะผ่านช่องมาที่ข้อมือได้อย่างสบาย แต่ในขณะตั้งครรภ์ร่างกายจำนวนมากโดยเฉพาะในเดือนที่ 7 และ 8 ของการตั้งครรภ์ จะมีน้ำในร่างกายสูงสุดทำให้เนื้อเยื่อบวมน้ำเพิ่มขึ้น จนช่องหรืออุโมงค์ที่ข้อมือแคบลง ทำให้เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณมือกดทับ จากเนื้อเยื่อที่บวมจนรู้สึกชาที่บริเวณปลายนิ้วได้ เมื่อถึงหลังคลอดสักระยะ พออาการบวมลดลง ช่องที่บริเวณข้อมือก็จะกลับมากว้างเหมือนเดิม อาการชาก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ถ้าชามากไม่สามารถทำงานได้ ให้บรรเทาด้วยแช่น้ำอุ่น เพื่อให้การหมุนเวียนของเลือดบริเวณฝ่ามือและข้อมือดีขึ้นจะได้ยุบบวมลง หรือช่วยนวดบริเวณข้อมือและฝ่ามือบ่อยๆ ก็จะทำให้อาการชาดีขึ้น
2. เป็นตะคริว อาการตะคริวเกิดจากกล้ามเนื้อหดตัวขึ้นมาทันทีทันใด โดยมากมักจะเป็นกล้ามเนื้อบริเวณปลายเท้า มักจะเกิดเวลากลางคืน ถ้าเป็นกล้ามเนื้อบริเวณน่อง จะรู้สึกปวดกล้ามเนื้อนั้นมาก บรรเทาอาการปวดโดยเหยียดขาให้ตรง แล้วดึงปลายฝ่าเท้าเข้าหาตัวคุณ จะทำให้กล้ามเนื้อน่องนั้นคลายตัวแต่อย่านวดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว เพราะจะทำให้ปวดมาก เพียงยืดกล้ามเนื้อดังกล่าวสักครู่หนึ่ง กล้ามเนื้อน่องก็จะคลายตัวเอง ในกรณีที่เกิดตระคริวบริเวณปลายเท้า ให้นวดบริเวณนั้น เพื่อให้เลือดเกิดการถ่ายเท และให้เกิดความอบอุ่นขึ้น จะทำให้อาการตะคริวหายเร็วขึ้นและบางทีก็เชื่อว่าการทานนมหรือทานแคลเซียมจะช่วยลดอาการตะคริวได้ด้วย
3. มีเส้นเลือดขอดมาก เส้นเลือดดำบริเวณขาใกล้ผิวหนังจะโป่งพงขึ้นมา เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้เส้นเลือดดำบริเวณนี้โป่งพองมากขึ้นและถ้ามีอาการยืนนานๆ เช่น เป็นเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ หรือเป็นพยาบาลที่จ้องเดินไปเดินมาทั้งวัน จะมีโอกาสเกิดเส้นเลือดขอดง่ายกว่าอาชีพอื่น จึงควรป้องกันและรักษาโดยใช้หลักเดียวกันคือ หาทางนั่งลงเมื่อมีโอกาสแล้วยกเท้าทั้งสองข้างพาดกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่งให้สูงกว่าบริเวณก้นเล็กน้อยเพื่อให้เลือดบริเวณปลายเท้าไหลกลับสู่ร่างกายให้สะดวกยิ่งขึ้น หรือจะสวมถุงน่องที่รัดรอบเท้าแน่น หรือจะใช้ผ้าพันปลายเท้ามาบริเวณหัวเข่าในกรณีที่เส้นเลือดขอดนั้นโป่งและปวด ก็จะช่วยได้ค่ะ
4. ขาบวม เมื่อครรภ์ใหญ่ขึ้นประมาณราวเดือนที่ 6-7 ของการตั้งครรภ์ขึ้นไป รกและรังไข่จะมีการสร้างฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มขึ้นและมีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้เกิดการคั่งของน้ำและเกลือได้ง่ายกว่าปกติ เมื่อมีการคั่งเกิดขึ้นจะทำให้ขาของคุณตึง บวม และปวดถ้าต้องยืนนานๆ จะทำให้ขาบวมมากขึ้น การคั่งของน้ำและเกลือนี้อาจจะทำให้ความดันโลหิตของคุณสูงขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ควรให้หมอตรวจร่างกายโดยละเอียด ถ้ามีความดันโลหิตสูงจริง จะต้องพักผ่อนมากขึ้นและในบางคนถ้าความดันโลหิตสูงและอาจตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ จะเข้าข่ายของอาการโรคครรภ์เป็นพิษ จึงควรรีบควบคุมการทานอาหาร น้ำและเกลือ เมื่อน้ำหนักตัวขึ้นเร็วกว่าเกณฑ์ปกติ เช่น น้ำหนักขึ้นสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม การหมั่นชั่งน้ำหนักตัวในระยะนี้จะช่วยป้องกันการบวมได้เช่นกัน
ทราบอาการแล้วก็ อย่ากังวลค่ะ ดูแลร่างกายให้แข็งแรงและจิตใจให้แจ่มใส เพื่อลูกในท้องจะได้เป็นเด็กที่มีอารมณ์ดีและไม่งอแงมากจนแม่หนักใจค่ะ



ที่มา..นิตยสารรักลูก

"4 จุดเด่นบนใบหน้า


ใบหน้าทุกคนมีส่วนประกอบเหมือน ๆ กัน เรามารู้จักจุดเด่น ๆ บนใบหน้า และเสริมให้สิ่งที่เด่น ดูสวยงามได้ด้วยตัวเราเองกันดีมั้ยค่ะ


ในส่วนต่างๆ ของใบหน้า คิ้ว ตา แก้ม และปาก ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของใบหน้า ดังนั้นการแต่งสวย เติมแต่ง จุดดังกล่าว จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จุดที่ว่านี้เป็นจุดที่มองเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้น ผู้เขียนมีหลักการเลือกใช้สีสันเครื่องสำอางมาแต่งแต้มให้ 4 จุดเด่นของใบหน้างามเด่นชัดน่ามองมากยิ่งขึ้นครับ
จุดที่ 1 เปลือกตา เป็นส่วนของใบหน้าที่สามารถใช้สีสันของอายแชโดว์ ได้หลากหลายที่สุด สำหรับสาวไทยส่วนใหญ่ที่มีสีผิวออกเหลือง การเลือกใช้อายแชโดว์ในกลุ่มโทนร้อน จึงเหมาะสมที่สุดครับ ซึ่งสีที่ว่านี้ได้แก่ สีส้ม น้ำตาล ทอง สีเบท เป็นต้น แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเลือกทาอายแชโดว์กลุ่มสีโทนเย็นไม่ได้นะครับ ก็สามารถทาได้อยู่ แต่ทั้งนี้เพื่อให้สีสันออกมาดูดีและตรงกับสีผิวของสาวไทยมากที่สุด คุณผู้อ่านควรหัดผสมสีอายแชโดว์ให้ได้สีที่ออกมากลมกลืน และได้สีตามที่เราต้องการ อย่างเช่น ทาอายแชโดว์สีเบท (โทนร้อน) เป็นสีไฮไลน์ทั่วเปลือกตา จากนั้นตามด้วยสีเทาเงิน (โทนเย็น) ไล่จากขอบตาบนขึ้นไปเหนือตาพับ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มออกดำ (โทนร้อน) ตัดบริเวณหางตา เกลี่ยให้สีกลมกลืมกัน ซึ่งการแต่งตาลักษณะนี้เรียกว่าการแต่งตารูปแบบ วี-เชป(V-Shape) ซึ่งจะทำให้ตาดูโตมากขึ้น แต่การแต่งในลักษณะนี้มีความยากกว่าการแต่งตากลม คือต้องไล่ระดับสีให้กลมกลืนกันทั้งสองข้าง และที่สำคัญสีอายแชโดวที่นำมาตัดบริเวณหางตาต้องเกลี่ยให้เนียนไม่มีรอยเส้น สำหรับการแต่งเปลือกตาให้ออกมาสวยงามนั้นนั้นนอกเหนือจากการเลือกใช้อายแชโดว์แล้ว การดัดขนตา ปัดมาสคาร่า ก็ถือว่าเป็นจุดสำคัญเช่นกัน วิธีการดัดขนตาที่ถูกต้อง คุณผู้อ่านต้องเลือกซื้อเลือกใช้ที่ดัดขนตาที่มีแผ่นรองรับเป็นยางหรือซิลิโคนเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ผู้เขียนขอแนะนำว่าควรเลือกใช้แบบซิลิโคนจะเป็นการดีครับ เพราะเวลาดัดขนตาจะไม่หักงอ แต่ที่ตัดขนตาที่ว่านี้จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่รับรองครับว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอนครับ……ขั้นตอนการดัดขนตาที่ถูกต้อง ถ้าขนตาสั้นควรตัดขนตา 2 ขั้นตอน คือชิดขอบตาและปลายขนตา ส่วนคนที่มีขนตายาวต้องดัด 3 ขั้นตอน คือ ชิดขอบตา กึ่งกลาง และปลายขนตา การเลือกใช้มาสคาร่าในการปัดขนตาผู้เขียนแนะนำว่าควรเลือกใช้มาสคาร่าสีดำกันน้ำ เวลาใช้ควรปัดมาสคาร่าที่ขนตาล่างก่อน จากนั้นค่อยปัดขนตาบน ถ้ามาสคาร่าเปรอะเลอะขอบตา ปล่อยให้แห้งจากนั้นใช้คัตตั้มบัด สะกิดจุดดังกล่าวออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้มาคาร่าจะออกง่ายและไม่เลอะมากยิ่งขึ้น
จุดที่ 2 คือ คิ้ว การแต่งคิ้วให้สวยเป็นธรรมชาตินั้นถือว่าแต่งได้ยาก แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดถ้าคุณผู้อ่านท่านใดที่มีโครงคิ้วและขนคิ้วที่สวยอยู่แล้วเพียงแค่กันขนคิ้วที่ขึ้นเกะกะ ให้เป็นระเบียบจากนั้นใช้มาสคาร่าสีน้ำตาลปัดขนคิ้วเบาๆ ให้เข้ารูปทรง ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ามีเนื้อคิ้วที่น้อย การแต่งคิ้วให้เป็นธรรมชาติ ผู้เขียนแนะนำว่าควรใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลไล้เบาๆ ไม่ควรเขียนคิ้วให้เป็นแท่ง หรืออเป็นเส้น เพราะแลดูไม่เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญความเข้มของคิ้วต้องอยู่บริเวณหางคิ้ว และความยาวของคิ้วไม่เกินหางตา
จุดที่ 3 คือ แก้ม การแต่งแก้ม ณ ปัจจุบันนี้เน้นความระเรื่อแลดูมีเลือดฝาด สุขภาพผิวดี วิธีแต่ง เลือกใช้ปลัชออนสีชมพู หรือสีส้มโดยเริ่มปัดปลัชออนจากบริเวณจอนผมปัดเข้ามาหาจมูก อยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางตาตำ จากนั้นเกลี่ยสีบลัชออนกลับในแนวทางเดียวกันให้สีของบลัชออนหายเข้าไปในแนวจอนผม โดยเกลี่ยให้สีกระจายสม่ำเสมอ ถ้าสีบรัชออนมากเกินไปหรือเข้มเกินไป วิธีแก้ใช้พัฟที่มีแป้งฝุ้นติดอยู่กดซับเบาๆ ก็จะช่วยลดสีของบัชออนลงได้ครับ
จุดที่ 4 คือปาก การแต่งปาก ให้ออกมาสวยงามนั้น ลิปสติก ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเสริมให้เรียวปากสวยน่ามองยิ่งขึ้น สำหรับสีลิปสติกที่จะเลือกมาแต่งแต้มให้ริมฝีปากนั้นก็สามารถเลือกสีได้ตามใจชอบครับ ถ้าเป็นสาวมั่น สีแดงสด น้ำตาลเข้ม สีม่วงอมแดง จะเหมาะกับคุณมากที่สุด แต่ ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็เลือกสีลิปสติกอ่อนๆ จะเป็นการดี ที่สุดครับ หรือจะเลือกใช้ลิปกลอสทาให้ริมฝีปากออกสีระเรื่อ แค่นี้ก็อินเทรนด์สุดๆ แล้วครับ แต่ทั้งนี้ต้องดูโอกาสและสถานที่ด้วยนะครับ
การแต่งหน้าให้มีสีสันไม่ใช่เพียงแค่นำสีสันของเครื่องสำอางมาละเลงบนใบหน้า ให้เกิดสีสันเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะปฏิบัติอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่แต่งอยุ่ทุกวันนี้มันช่วยสร้างให้ตัวคุณสวยขึ้นหรือแย่กว่าเติม เพราะฉะนั้นการเรียนรู้การแต่งหน้าที่ถูกวิธี ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการเสริมความงามให้คุณสวยมากยิ่งขึ้น


แหล่งที่มา » mcot

เปลือกตาบวม


เปลือกตาบวม หมายถึง เปลือกตามีลักษณะบวมแต่สีปกติ จัดเป็นอาการบวมจากการอักเสบที่ไม่ติดเชื้อ
1. สาเหตุและกลไก

(1) ม้ามพร่องเกิดน้ำตกค้างไปสะสมที่ตา

(2) หัวใจและม้ามพร่อง เกิดจากครุ่นคิดมากไป เลือดลมไหลเวียนไม่มีแรงทำให้บริเวณเปลือกตาบวมในทางการแพทย์ตะวันตกมักจะพูดถึงเกี่ยวกับ โรคไต โลหิตจาง ขาดสารอาหาร บวมน้ำ Quincke’s edema หรือ เป็นอาการของการอักเสบจากการถูกพิษ
2. การรักษา

(1) ยาใช้ภายใน

1) กลุ่มชี่ของม้ามพร่อง เปลือกตาบวมอ่อน ๆ เดี๋ยวบวมเดี๋ยวยุบ รู้สึกเปลือกตาหนัก ๆ ไม่อยากลืมตา ท่าทางอ่อนระโหย แขน-ขาดูเมื่อย ๆ หนัก ๆ ทานข้าวได้น้อยถ่ายเหลว ตาขาวปริมาณมาก ลิ้นซีดขาวฝ้าบาง หลักการรักษา เสริมม้ามบำรุงชี่ระบายชื้น

2) หัวใจและม้ามพร่อง เปลือกตามีลักษณะบวมพอง ประกายตาไม่มีชีวิตชีวา นอนไม่หลับ ใจสั่น หลงลืม หลักการรักษา บำรุงหัวใจและม้าม

3) กลุ่มหยางของม้ามและไตพร่อง เปลือกตาบวมเป่ง เกิดถุงใต้ตาชัดเจน หรืออาจหน้าบวม เข่าและเอวมีอาการปวดเย็น ๆ ขี้หนาวกลัวเย็น ปัสสาวะใสมีปริมาณมาก หลักการรักษา อุ่นบำรุงม้ามไต

(2) ภายนอก

1) ฝังเข็ม

2) นวด เฉพาะที่ เลือกจุดรอบดวงตานวด ทั่วตัว นวดไปตามเส้นม้าม ไต
3. การดูแล

(1) งดน้ำหรือเกลือ เช่น อาหารที่มีองค์ประกอบของเกลือ พวกเนื้อวัว เนื้อไก่ แตงโม ฟัก มะเขือเทศ เผือก ส้ม สาลี่ แอปเปิ้ล

(2) เพิ่มการออกกำลังกาย เพื่อให้กระตุ้นระบบระบายของน้ำและระบบการไหลเวียนของเลือด

(3) ระมัดระวังสุขภาพด้านอื่น ๆ เพื่อจะรักษาได้ถูกสาเหตุ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ดาราเดลี่

การสลายไขมัน


การป้องกันไขมันสะสม ดีกว่าการปล่อยให้สะสมแล้ว จัดการไขมันออกภายหลัง


คนส่วนใหญ่ ยอมรับว่า การออกกำลังการ ร่วมกับการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะเป็นสูตรสำเร็จ ของการรักษาสุขภาพที่ดีการออกกำลังกาย มีความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการควบคุมน้ำหนัก เพราะพลังงาน ที่เราใช้ในช่วงปกติ เป็นผลจากการทำงานของ กล้ามเนื้อต่างๆ ทั้งยังมีแนวโนัมว่า กล้ามเนื้อเราจะอ่อนล้าหย่อนยาน และมีการสะสมมากขึ้น ของไขมันเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของเรา ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เราจึงยังสามารถรักษา หรือ ควบคุมได้ด้วย การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะพบได้ว่า การบริโภคอาหารไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แม้ในคนปกติ เหตุผลเป็นเพราะ เราทำให้เกิดสมดุล ระหว่างความรู้สึกถึงใจ กับความอิ่มท้อง เป้นที่รู้กันว่า เราสามารถจะบริโภคไขมันมากเกินความต้องการ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกอิ่มเสียอีก และโดยเฉพาะเมื่อทราบว่า ไขมันมีแคลอรี่สูงกว่า คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ถึง 2 เท่า การรับประทานอาหาร ที่มีไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อิ่มอย่างได้สมดุล แต่ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิด มะเร็งหลายชนิดด้วยการออกกำลังกาย ร่วมกับ การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ จะเป็นสูตรสำเร็จ ที่น่าจะได้ผลดีในทางทฤษฎี แต่ก็พบว่าในทางหฏิบัติ มีความแตกต่างไป ทั้งนี้เป็นเพราะการดำเนินชีวิต และความสะดวก ในการบริโภคประจำวัน มีส่วนเบี่ยงเบน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การที่มีคอมพิวเตอร์ กระเป๋าหิ้ว ทำให้ต้องเดินน้อยลง ในระหว่างการทำงาน แม้ว่าพยายามชดเชยด้วยการรับประทานอาหารกลางวัน ที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ก็ยังไม่ช่วยสมดุลมากนัก และน้ำหนักก็ยังกลับเพิ่มขึ้นอีกขั้นตอน การย่อยสลายไขมัน 1.การย่อยสลายอาหาร ให้แตกตัวในกระเพาะอาหาร2.การย่อยด้วยน้ำย่อยไขมัน (lipolysis) ให้กลายเป็น กรดไขมันที่เล็กลง (Free Fatty Acid) และเบตาโมโนกลีเซอไรด์ (b-MGs)3.การจับตัวกับน้ำดีกลายเป็น อนูเล็กๆ ของไขมัน ที่ละลายน้ำ และพร้อมจะถูกดูดซึม4.การดูดซึมผ่านผนังลำไส้ดังนั้นหากเราสามารถ จัดการกับไขมันได้ก่อน ที่มันจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และทรมานน้อยกว่าอย่างมาก สิ่งที่เราต้องการที่แทัจริงแล้วคือ สิ่งที่สามารถป้องกัน ยับยั้งการดูดซึมของไขมันโชคดี ที่การวิจัยชั้นเยี่ยมในเรื่องของการลดน้ำหนัก ได้ช่วยให้เราค้นพบว่า การเสริมด้วยโภชนาการ หรืออาหารเสริมบางชนิด จะช่วยยับยั้งการได้รับไขมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วย สำหรับคนที่กำลังไม่สบาย จากความไม่สมดุลของไขในในร่างกาย หรือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมัน มากกว่าที่นำไปใช้ มันมักจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องพยายามป้องกันรักษาสุขภาพของเส้นเลือดและหัวใจส่วนใหญ่การลดน้ำหนัก มักมุ่งไปที่ การพยายามแก้ปัญหา หลังจากที่มีการสะสมไขมันเข้าไปแล้ว แม้จะทราบว่า อาหารใดที่มีไขมันมาก เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับประทาน และ ก็ต้องมาพยายามหาวิธี ขจัดไขมันออกในภายหลังอันที่จริงแล้ว คำกล่าวที่ว่า "An ounce of prevention is worth a pound of cure" หรือ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างยิ่ง มันจะง่ายกว่ามาก หากมีวิธีป้องกัน ไม่ให้ไขมัน เข้าไปสะสมในร่างกาย ง่ายและปลอดภัย กว่าการที่จะพยายามมาขจัดออกในภายหลัง



แหล่งที่มา » doctor san

การสลายไขมัน

การป้องกันไขมันสะสม ดีกว่าการปล่อยให้สะสมแล้ว จัดการไขมันออกภายหลัง


คนส่วนใหญ่ ยอมรับว่า การออกกำลังการ ร่วมกับการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะเป็นสูตรสำเร็จ ของการรักษาสุขภาพที่ดีการออกกำลังกาย มีความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการควบคุมน้ำหนัก เพราะพลังงาน ที่เราใช้ในช่วงปกติ เป็นผลจากการทำงานของ กล้ามเนื้อต่างๆ ทั้งยังมีแนวโนัมว่า กล้ามเนื้อเราจะอ่อนล้าหย่อนยาน และมีการสะสมมากขึ้น ของไขมันเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของเรา ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เราจึงยังสามารถรักษา หรือ ควบคุมได้ด้วย การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะพบได้ว่า การบริโภคอาหารไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แม้ในคนปกติ เหตุผลเป็นเพราะ เราทำให้เกิดสมดุล ระหว่างความรู้สึกถึงใจ กับความอิ่มท้อง เป้นที่รู้กันว่า เราสามารถจะบริโภคไขมันมากเกินความต้องการ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกอิ่มเสียอีก และโดยเฉพาะเมื่อทราบว่า ไขมันมีแคลอรี่สูงกว่า คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ถึง 2 เท่า การรับประทานอาหาร ที่มีไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อิ่มอย่างได้สมดุล แต่ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิด มะเร็งหลายชนิดด้วยการออกกำลังกาย ร่วมกับ การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ จะเป็นสูตรสำเร็จ ที่น่าจะได้ผลดีในทางทฤษฎี แต่ก็พบว่าในทางหฏิบัติ มีความแตกต่างไป ทั้งนี้เป็นเพราะการดำเนินชีวิต และความสะดวก ในการบริโภคประจำวัน มีส่วนเบี่ยงเบน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การที่มีคอมพิวเตอร์ กระเป๋าหิ้ว ทำให้ต้องเดินน้อยลง ในระหว่างการทำงาน แม้ว่าพยายามชดเชยด้วยการรับประทานอาหารกลางวัน ที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ก็ยังไม่ช่วยสมดุลมากนัก และน้ำหนักก็ยังกลับเพิ่มขึ้นอีกขั้นตอน การย่อยสลายไขมัน 1.การย่อยสลายอาหาร ให้แตกตัวในกระเพาะอาหาร2.การย่อยด้วยน้ำย่อยไขมัน (lipolysis) ให้กลายเป็น กรดไขมันที่เล็กลง (Free Fatty Acid) และเบตาโมโนกลีเซอไรด์ (b-MGs)3.การจับตัวกับน้ำดีกลายเป็น อนูเล็กๆ ของไขมัน ที่ละลายน้ำ และพร้อมจะถูกดูดซึม4.การดูดซึมผ่านผนังลำไส้ดังนั้นหากเราสามารถ จัดการกับไขมันได้ก่อน ที่มันจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และทรมานน้อยกว่าอย่างมาก สิ่งที่เราต้องการที่แทัจริงแล้วคือ สิ่งที่สามารถป้องกัน ยับยั้งการดูดซึมของไขมันโชคดี ที่การวิจัยชั้นเยี่ยมในเรื่องของการลดน้ำหนัก ได้ช่วยให้เราค้นพบว่า การเสริมด้วยโภชนาการ หรืออาหารเสริมบางชนิด จะช่วยยับยั้งการได้รับไขมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วย สำหรับคนที่กำลังไม่สบาย จากความไม่สมดุลของไขในในร่างกาย หรือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมัน มากกว่าที่นำไปใช้ มันมักจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องพยายามป้องกันรักษาสุขภาพของเส้นเลือดและหัวใจส่วนใหญ่การลดน้ำหนัก มักมุ่งไปที่ การพยายามแก้ปัญหา หลังจากที่มีการสะสมไขมันเข้าไปแล้ว แม้จะทราบว่า อาหารใดที่มีไขมันมาก เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับประทาน และ ก็ต้องมาพยายามหาวิธี ขจัดไขมันออกในภายหลังอันที่จริงแล้ว คำกล่าวที่ว่า "An ounce of prevention is worth a pound of cure" หรือ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างยิ่ง มันจะง่ายกว่ามาก หากมีวิธีป้องกัน ไม่ให้ไขมัน เข้าไปสะสมในร่างกาย ง่ายและปลอดภัย กว่าการที่จะพยายามมาขจัดออกในภายหลัง
แหล่งที่มา » doctor san

27.1.51

วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นตัว

คนเราทุกคนย่อมมีกลิ่นตัวด้วยกันทั้งนั้น และแต่ละคนก็จะมีกลิ่นเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกัน บางคนจะสังเกตได้ว่ามีกลิ่นตัวที่ฉุนและแรงมากซึ่งเป็นที่รังเกียจของคนรอบข้าง วันนี้มีวิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นตัวมาฝากค่ะ...
วิธีการเริ่มต้นเมื่อรู้ตัวว่ามีกลิ่นตัวที่รุนแรง คือ จะต้องรักษาอนามัยของตัวเอง อาบน้ำให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน เป็นขั้นพื้นฐานที่ต้องกระทำ หลังจากนั้นจึงเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แบ่งได้ 4 ประเภท ดันนี้
1. น้ำหอม จัดเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมใช้กลบกลิ่นตัววิธีหนึ่ง แต่ถ้าหากร่างกายมีเหงื่อมากและไม่ได้ชำระล้างให้เรียบร้อยก่อนใส่ น้ำหอมก็จะส่งผลให้เกิดกลิ่นใหม่ที่ฉุนไม่ชวนเข้าใกล้ได้เช่นกัน
2. ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ จะใช้ทาบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้หรือบริเวณอับชื้นส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพื่อทำลายและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เป็นสาเหตุหลักของการเกิดกลิ่นตัว
3. ผลิตภัณฑ์ดูดขับกลิ่น องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ คือ ต้องสามารถดูดซับกลิ่นฉุนไว้ เพื่อไม่ให้ระเหยออกสู่ภายนอก สามารถใช้ได้ผลดีและเป็นที่นิยมในปัจจุบัน


4. ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ คือ สารระงับการขับเหงื่อ อลูมิเนียมคลอไฮเดรท มีทั้งรูปแบบของโลชั่น ครีม โรลออน และ สเปรย์
แต่ละประเภทมีวิธีการกำจัดกลิ่นตัวที่แตกต่างกัน ใครที่มีปัญหาลองพิจารณาตัวเองว่าสาเหตุกลิ่นกาย เกิดจากสาเหตุใด และลองทำเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมดู ที่สำคัญ อย่าลืมอ่านฉลากของสินค้าก่อนที่จะเลือกซื้อนะคะ.



หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อยู่ไฟ หลังคลอด คุณแม่ยุคใหม่ฟื้น

ตั้งแต่ยุคโบราณนานมา ผู้เฒ่าผู้แก่มักให้หญิงที่เพิ่งคลอดอยู่ไฟและสืบทอดต่อกันมา ทุกวันนี้การอยู่ไฟหลังคลอดกลับมาเป็นที่นิยมของคุณแม่หลังคลอดอีกครั้งหนึ่ง เพราะช่วยให้คุณแม่หลังคลอดมีทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณหน้าตาสดใสเหมือนก่อนตั้งครรภ์

โรงพญาบาลกล้วยน้ำไท 1 เปิดประเด็น ม่ามี๊ ก็ผิวใสและเซ็กซี่ น็อตตี้ ได้ด้วยการอยู่ไฟ ให้กระจ่างชัดไปเลยว่าอยู่ไฟมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร โดยน.พ.ก้องศาสดิ์ ดีนิรันดร์ สูติ-นรีแพทย์ กล่าวว่าน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10-12 ก.ก. ผิวคล้ำขึ้น มีสีเข้มคาดที่กลางลำตัว หน้าท้องแตกลายเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสะสม หลังคลอดแล้วน้ำหนักจะลดลงทันทีประมาณ 5.5 ก.ก. แต่ยังคงมีน้ำหนักตัวหลงเหลืออยู่ จากนั้น ประมาณ 3-4 สัปดาห์ มดลูกจะกลับมาเหมือนภาวะปกติร้อยละ 70 หรือเรียกกันว่า มดลูกเข้าอู่

แม้จะเป็นแพทย์แผนปัจจุบันแต่ก็มีความรู้เรื่องการอยู่ไฟด้วย คุณหมอบอกว่าการประคบทำให้คลายเมื่อย คลายเครียดเพราะขณะอยู่ไฟไม่ได้เลี้ยงลูก อีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดสูบฉีดดีขึ้นซึ่งเกิดจากความร้อนจากการอบตัวในกระโจมเหมือนอบเซาน่าในปัจจุบัน ส่วนการขัดผิวเป็นการลอกเซลล์ผิวที่คล้ำออกแล้วเซลล์ผิวที่ใสและสะอาดที่สุดซึ่งอยู่ชั้นล่างก็จะโตเร็วขึ้นเมื่อมีการสูบฉีดเลือดที่ดี อีกทั้งช่วยให้น้ำคาวปลาออกหมดเร็ว การปัสสาวะและอุจจาระก็พลอยดีขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ตาม การอยู่ไฟมีข้อเสียเหมือนกันหากคลอดปกติทางช่องคลอดต้องรอให้แผลฝีเย็บละลายเสียก่อนซึ่งมักจะใช้เวลา 7-10 วัน แต่กรณีคลอดแบบผ่าตัดต้องรอให้แผลหายดีเสียก่อนสักประมาณ 45 วัน และคุณแม่ยังต้องคำนึงถึงโรคประจำตัวด้วย เช่น บางคนเป็นโรคเบาหวาน หากมีแผลที่เท้าและชาเท้าขณะนวดหรืออบไฟก็อาจไม่รู้ตัวและทำให้แผลลามขึ้นได้ ส่วนคนเป็นความดันก็ต้องระวังเพราะขณะนวดความดันจะเพิ่มขึ้น และคนที่เป็นโรคหัวใจก็ควรระวังด้วย

มาคุยกับแพทย์แผนไทยประยุกต์กันบ้าง น.ส.กมลมาสย์ หลวงแสน กล่าวถึงขั้นตอนการอยู่ไฟว่า

• ขั้นแรกคุณแม่ต้องดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพร แล้วอาบน้ำสมุนไพร สำหรับสมุนไพรที่ใช้อาบและอบตัวนั้น ประกอบด้วย ไพล ขมิ้นชันที่มีสรรพคุณแก้ฟกช้ำ แก้ปวดเมื่อย ตะไคร้และมะกรูดช่วยระบบทางเดินหายใจและดับกลิ่นน้ำคาวปลา ผักบุ้งแดงช่วยบำรุงสายตา ใบมะขามและใบส้มป่อยช่วยบำรุงน้ำเหลือง นอกจากนั้นก็มีการบูร พิมเสน เกลือ ว่านน้ำ

• จากนั้นนวดประคบโดยใช้ลูกประคบซึ่งใช้สมุนไพรสดเหมือนกับสมุนไพรที่ใช้อาบน้ำ แล้วมาทับหม้อเกลือซึ่งมีว่านชักมดลูกและว่านนางคำช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นและขับน้ำคาวปลา ประกอบกับใช้หม้ออินทนนท์ซึ่งใส่เกลือตัวผู้เม็ดใหญ่ๆ ลงไปและอบในไมโครเวฟให้ร้อนแล้วใช้ใบพลับพลึงวางซ้อนกันก่อนวางหม้อบนหน้าท้องเป็นการขับน้ำคาวปลาและลดการเกร็งของหน้าท้อง

• หลังจากนั้น เป็นการนวดน้ำมัน ขัดผิวและอยู่กระโจมโดยเข้าไปอบตัวในกระโจม 10 นาที ออกมาพัก และเข้าไปใหม่ รวม 3 ครั้ง อาจทำทุกวันก็ได้เรื่อยไปจนกระทั่ง 1 เดือน นอกจากนี้ ยังมีที่คาดไฟชุดหรือคาดไฟหลวง ประกอบด้วยกล่องอะลูมิเนียม แท่งยาซึ่งเป็นแท่งถ่านและผ้าคาดเอว จุดไฟครั้งหนึ่งก็จะร้อนนานประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยให้วางผ้าขนหนูรอบเอวเสียก่อนแล้วค่อยใส่ผ้าคาดเอวซึ่งจะทำวันละ 2-3 ครั้งก็ได้ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านหรือไม่ค่อยมีเวลา ไม่สะดวกในการอยู่กระโจมหรือประคบ

เหตุใดราคาคอร์สอยู่ไฟถึงแพงมาก บางคอร์สเกือบหมื่น บางคอร์สหลายหมื่น พยาบาลชวนพิศ ยงยิ่งยืน ไขข้อสงสัยว่าเป็นเพราะราคาสมุนไพรที่แพงตามฤดูกาลและหายาก และยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอด 5 ชั่วโมงของการอยู่ไฟต่อหนึ่งวัน อีกทั้งน้ำมันนวดราคาแพง ส่วนคุณแม่ลูก 4 ที่มีประสบการณ์อยู่ไฟอย่างโชกโชน นางอัจรียา อีดี้ ยืนยันว่าการอยู่ไฟดีต่อสุขภาพคุณแม่หลังคลอด ช่วยให้คลายปวดเมื่อยและไม่เคยมีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวเลย พร้อมทั้งเผยเคล็ดลับเพื่อช่วยให้คุณแม่กลับมาสดใสในเวลาเร็ววันว่ามีหลัก แขม่ว ขมิบ และเขย่ง โดยยกแขนขึ้นและลงพร้อมกับขมิบและเขย่งไปพร้อมกัน ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างวิถีไทยและความรู้ด้านการแพทย์สมัยใหม่ช่วยให้คุณแม่ดูดีขึ้นได้อย่างใจในเวลาไม่นาน

ขอขอบคุณข้อมูล จาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วิธีแก้ผดผื่นที่แผ่นหลัง

ใครมีแผ่นหลังที่มีผดผื่นหรือสิวบ้าง และยังไม่มีวิธีแก้ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน...
ก่อนอื่นเลย ต้องหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดผดผื่น ก็คือแสงแดด ความอับชื้น เหงื่อ เป็นต้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี
ยังมีอีกสาเหตุ คือ ไม่ยอมอาบน้ำโดยเฉพาะตอนเย็น หรือที่นอนสกปรกก็เป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่หลังได้ เพราะตอนกลางคืนขณะที่หลับสิ่งสกปรกเหล่านี้ จะมาอุดตันได้ง่าย หากที่นอน หมอน หรือชุดนอนสกปรก (ใส่หลายๆวัน เพราะคิดว่าอยู่ห้องแอร์ไม่มีเหงื่อ) หรือไม่อาบน้ำแล้วมานอนเลยก็อาจทำให้เกิดสิวที่ หลังได้ง่าย
วิธีแก้ คือ ให้เอาผงชูชีพผสมกับน้ำเปล่า หรือน้ำมะนาว คนให้เหลวๆ แล้วก็นำมาทาให้ทั่วหลัง 3-4 วัน ก็จะหาย หรือถ้าเป็นสิว ก็ใช้สูตรนี้ได้เหมือนกัน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้นะคะ. . .

ข้อมูลจาก เดลินิวส์

อยู่ไฟ-ภูมิปัญญาไทยสำหรับแม่

2-3 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวที่ฮือฮาในวงการ “คุณแม่” ทั้งหลาย ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ข่าวนั้นก็คือข่าวการอยู่ไฟภายหลังการคลอดของบรรดาคุณแม่ ที่มีบริษัทฯ เข้าไปรับจัดการ กล่าวคือ ให้บริการถึงบ้าน เรียกว่า อยู่ไฟเดลิเวอรี่

พูดถึง “การอยู่ไฟ” คุณแม่สมัยใหม่อาจจะยังงงๆ อยู่ จริงๆ แล้ว การอยู่ไฟเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีมาแต่อดีต เป็นความรู้ทางด้านการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของคุณแม่ภายหลังการคลอดให้มีสุขภาพที่ดีดังเดิมโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่า การคลอดลูกเป็นภาวะที่อันตรายที่สุดในชีวิตของผู้เป็นแม่

การอยู่ไฟถือเป็นการดูแลสุขภาพ ของผู้เป็นแม่ เพราะการอยู่ไฟจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นหรือพูดอีกอย่าง ก็คือการอยู่ไฟช่วยให้มดลูกกลับเข้าสู่สภาพปกติ เนื่องจากก่อนคลอด สรีระของผู้เป็นแม่ เกือบทุกส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลง กระดูก ข้อต่อจะ เคลื่อนขยาย การใช้ความร้อนในการอยู่ไฟ จะช่วยให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเร็วขึ้น ที่สำคัญการอยู่ไฟจะช่วยให้บาดแผลที่เกิดจากการคลอดปิดสนิทได้ด้วยการนอนเฉยๆ ภายใน 3-5 วัน เพราะการอยู่ไฟจะทำให้ เหงื่อออกส่งผลให้ร่างกายของผู้เป็นแม่ ที่บวมน้ำอยู่ลดลง อาการปวดเมื่อยร่างกายภายหลัง การคลอดบุตรจะทุเลาลงโดยเร็ว

เพราะเห็นถึง ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยเรื่องการอยู่ไฟ จึงได้มีผู้คิดการให้บริการนี้ถึงที่ ซึ่งก็ปรากฏว่าคุณแม่นิยมใช้บริการกันอย่างกว้างขวาง
ธุรกิจการให้บริการการอยู่ไฟถึงบ้านเป็นอย่างไร คุณคันถ์ชิต วณิชดิลกกุล เขียนไว้ ในเรื่อง “อยู่ไฟเดลิเวอรี่” คอลัมน์ “ทำมาค้าคล่อง” นิตยสารขวัญเรือน ปีที่ 36 ฉบับที่ 787 ปักษ์แรก กันยายน 2547 ความตอนหนึ่งว่า “เมื่อถึงบ้านลูกค้า พนักงานจะผูกกระโจมที่มีลักษณะคล้ายกับกลดพระ สูงประมาณ 3 เมตร ที่ทำจากผ้าดิบ จากนั้นจะปูที่นอนให้นอน เพื่อนวดผ่อนคลายประมาณ 20 นาที แล้วใช้ผงอาบน้ำสมุนไพรของโครงการดอยน้ำซับนำมาต้ม

และผสมกับน้ำธรรมดาให้อุ่นแล้วนำมาให้อาบหรือใส่ในอ่างอาบน้ำ ลงไปแช่ในอุณหภูมิน้ำค่อนข้างร้อนพอทนได้ โดยแช่ประมาณ 10-15 นาที (ไม่ควรสระผมด้วยน้ำเย็นให้ใช้น้ำอุ่นสระผมแทน) ต่อจากนั้นก็เช็ดตัวให้แห้ง และเริ่ม กิจกรรมต่อ โดยการนาบหม้อเกลือ ใช้เกลือ ใส่ลงในหม้อดินประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ของขนาดหม้อ ตั้งไฟให้ร้อนประมาณ 20 นาที สังเกตได้ว่าเกลือจะแตกดังเปรี๊ยะๆ ให้ยกหม้อเกลือวางลงบนใบพลับพลึงที่รองด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง (ใบพลับพลึงจะต้องอยู่บนผ้า) รวบผ้าขึ้นผูกให้แน่นพอมีที่จับ พนักงานจะนำหม้อเกลือที่ผูกผ้าแล้ววางลง บนหน้าท้อง ความร้อนจะค่อยๆ ซึมลงบน หน้าท้อง แล้วจึงค่อยๆ เลื่อนตำแหน่งไปให้ทั่วบริเวณหน้าท้อง เอว หลัง ต้นขา และสะโพก ซึ่งต้องระมัดระวังความร้อน ในช่วงที่ยกออกจากเตาใหม่ๆ จะร้อนมาก การนาบหม้อเกลือจึงต้องอาศัยความชำนาญของพนักงาน

เมื่อระดับความร้อนของหม้อลดลง จึงหยุดทำ(กระบวนการนาบหม้อเกลือใช้เวลาประมาณ 30 นาที) หลังจากนั้นจะเป็นการประคบด้วยการใช้ลูกประคบ 2 ลูกที่ถูกนึ่งแล้วประมาณ 15-20 นาที ใช้ผ้าจับลูกประคบ ค่อยๆ นำมาประคบหน้าท้อง หลัง และต้นขา จากนั้นจะประคบด้วยลูกงา เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิวหนังซึ่งเป็นสูตรข องโครงการดอยน้ำซับโดยเฉพาะ พอเสร็จจากการประคบจะต่อด้วยการอบสมุนไพร พนักงานจะต้มสมุนไพร ลงในหม้อไฟฟ้า โดยสมุนไพรต่างๆ จะประกอบไปด้วย ไพล ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ตะไคร้ เถาเอ็นอ่อน ใบมะกรูด ผิวมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย มหาเมฆ และว่านชักมดลูก

เมื่อสมุนไพรเดือดจะวางไว้ใต้เก้าอี้ ผู้ที่อบจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในกระโจมประมาณ 20 นาที โดยควันและกลิ่นจะรมตัวเพื่อขับของเสียออกทางเหงื่อและช่วยสมานแผลที่เกิดจากการผ่าท้องคลอด จากนั้นจึงออกมาดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว รอจนตัวแห้งจึงอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยดีแล้วให้นำว่านชักมดลูกมาต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้อุ่นแล้วนำมาดื่มหลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว ใช้เวลาในการทำเฉลี่ยแล้ว กว่า 4 ชั่วโมง จึงเสร็จทุกขั้นตอน และต้องทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบ 7 วัน ซึ่งทั้งขั้นตอนและวิธีการ สามารถปรับประยุกต์ได้”

การอยู่ไฟของคนไทยในสมัยก่อนมีความสำคัญอย่างไร “อยู่ไฟ”
เพื่ออะไร มีกรรมวิธีอย่างไร เรื่องนี้สอดคล้องกับการแพทย์สมัยใหม่อย่างไร หลายคนคงอยากรู้คำตอบ  น.พ. เอกชัย ปัญญาวัฒนานุกูล เรียบเรียงเรื่อง “อยู่ไฟหลังคลอด สอดรับแพทย์สมัยใหม่” ในหน้าสุขภาพ น.ส.พ. ฉบับวันพุธ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ความตอนหนึ่งมีดังนี้ “ในอดีต…หลังคลอดบุตรแล้ว สามีและคนอื่นๆ จะช่วยกันเตรียมเตา สำหรับอยู่ไฟ โดยนำต้นกล้วยที่ผ่าครึ่งวางบนแคร่แล้วเอาดินโรยก่อนจะจุดไฟ เรียกว่า “ทอดเตาไฟ” แล้วให้หญิงคลอดบุตรนอนด้านข้างเตา แต่คนไทยบางกลุ่มใช้วิธีย่างไฟ คือ นอนบนแคร่ และนำเตาไฟ 2-3 เตา วางอยู่ใต้แคร่ ซึ่งจะพบได้ในแถบภาคอีสาน และชาวญวน ก่อนจะอยู่ไฟต้องมีการดับพิษไฟ โดยหมอจะเคี้ยวข้าวสารกับเกลือเสกคาถา แล้วเป่าพ่นลงที่ท้องของหญิงคลอดบุตร เพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อนของการอยู่ไฟ ซึ่งอาจเสริมกำลังใจและลดความร้อนลงได้บ้าง ก่อนขึ้นนอนบนกระดานไฟ ต้องมีการ “เข้าขื่อ” ก่อน คือ นอนตะแคงให้หมอตำแยเหยียบสะโพก เพื่อให้กระดูกเชิงกรานที่คราก ได้กลับเข้าที่ (พ.ญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ดุลยภาพบำบัด เคยกล่าวไว้ว่า วิธีการนี้จะช่วยป้องกันปัญหาของโครงสร้างกระดูกสันหลังที่จะผิดปกติ ตามมาในอนาคต และเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการเจ็บป่วยในหลายๆ โรค) ผู้อยู่ไฟต้องนุ่งเตี่ยวหรือผ้าถุง มีขมิ้นกับปูนแดงผสมเหล้า เอาสำลีชุบปิดสะดือ และทาท้อง-หลังไว้เสมอ เพื่อดับพิษร้อนและรักษาร่างกาย นอกจากนี้ ยังมียาโรยบนถ่านไฟสำหรับรมตา ป้องกันตาแฉะ ตาอักเสบ และมีน้ำโอ่งหรือไหนึ่งตั้งไว้ข้างเตา เมื่อไฟในเตาลุกลาม มากเกินความต้องการ จะได้ตักน้ำราดดับไฟเพื่อไม่ให้ความร้อนมากเกินไปและยังใช้น้ำนั้นดื่มได้ด้วย อาหารของผู้ที่อยู่ไฟ จะกินข้าวกับปลาแห้งหรือกินข้าวกับเกลือ บางวันมีแกงเลียงเสริมเพื่อเพิ่มน้ำนมแม่ การกินข้าวผสมเกลือมีประโยชน์ เพราะในการอยู่ไฟความร้อนจะทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อมาก ทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปได้ หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทที่เชื่อว่าจะทำให้แสลง เช่น อาหารที่ย่อยยากหรือคาวจัดรสจัด นอกจากนี้ ยังต้องกินยาตำรับแก้โลหิตเป็นพิษจนกว่าจะออกไฟ

มดลูกเข้าอู่ระหว่าง 3-7 วันหลังคลอด หมอตำแยจะมาฝืนท้องให้ทุกวัน คือ เอามือกด-ดันตรงหัวเหน่า เพื่อช้อนให้มดลูกเข้าอู่ แล้วคลึงที่หัวเหน่าให้ปากมดลูกหดเข้าที่ เรียกว่า “การกล่อมมดลูก” ตอนกล่อมมดลูกจะมีน้ำคาวปลาทะลักออกมา ทำให้ผู้ที่อยู่ไฟรู้สึกสบาย นอกจากนี้ก็มีการเข้ากระโจม นาบหม้อเกลือ และนั่งถ่าน การเข้ากระโจม ก่อนเข้าให้เอาว่านนางคำ ฝนหรือตำ คั้นเอาน้ำผสมกับเหล้าและการบูร ทาตัวผู้ที่อยู่ไฟ กระโจมมักทำด้วยซี่ไม้ไผ่ทำเป็นโครงเหมือนมุ้งประทุน เอาผ้าคลุมให้มิดชิด ต่อท่อจากหม้อต้มยาเข้าในกระโจม ตำรับยาที่ใช้ต้ม ประกอบด้วยเปลือกส้มโอ ใบส้มป่อย ว่านน้ำ ตะไคร้ มะกรูด ผักบุ้งล้อม และเกลือ เป็นต้น เพื่อบำรุงผิว กันฝ้าและน้ำเหลืองเสีย ประมาณครึ่งชั่วโมง การประคบตัว ใช้ว่านนางคำ ไพล ขมิ้นอ้อย ใบมะขาม ใบส้มป่อย ตำแล้วเคล้ากับเกลือ นำไปห่อทำเป็นมัด แล้วไปแช่น้ำต้มยาที่ใช้ในการเข้ากระโจม ที่เหลืออยู่ ประคบตามตัวและเต้านม และนั่งทับลูกประคบ เพื่อลดอาการเจ็บ ปวดและคัดเต้านม ทำทุกวันกระทั่งออกไฟ การนาบหม้อเกลือ เอาเกลือใส่ลงในหม้อตาลที่มีฝาปิด ตั้งไฟเผาจนร้อนจัดให้เกลือในหม้อตาลมีเสียงระเบิดแตกเพียะพะ จึงยกหม้อเกลือวางบนใบละหุ่งหรือใบพลับพลึง แล้วเอาผ้าห่อหม้อตาลที่รองด้วยใบพลับพลึง นำไปนาบบริเวณหัวเหน่า ทำวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้ามืดและบ่ายทำอย่างน้อย 3-4 วัน เพื่อให้มดลูกเข้าอู่ เร็วขึ้น การนั่งถ่าน ใช้ผิวมะกรูดตากแห้ง ว่านน้ำ ว่านนางคำ ไพล ขมิ้นอ้อย ชานหมาก ชะลูด ขมิ้นผง ใบหนาด นำมาหั่นให้ละเอียด แล้วเอาไปตากแดด เวลาใช้ให้หยิบทีละหนึ่งหยิบมือโรยบนเตาไฟขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดควันลอยขึ้นรมก้นของผู้ที่อยู่ไฟเพื่อสมานแผลบริเวณฝีเย็บ จะเห็นว่ากระบวนการเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ไม่ต่างจากสูติแพทย์ที่ต้องการป้องกันอาการแทรกซ้อนหลังคลอด คือ การตกเลือด และการติดเชื้อหลังคลอด

การกล่อมมดลูก การนาบหม้อเกลือ เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวดีและเร็วขึ้น ป้องกันการตกเลือดและอาการกระเพาะปัสสาวะครากได้ การนั่งถ่าน โดยใช้สมุนไพรรักษาและสมานแผลป้องกันการติดเชื้อการเข้ากระโจม การประคบตัว เพื่อให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และลดการบวมจากปริมาณน้ำและเลือดที่เพิ่มขึ้นมากในระหว่างตั้งครรภ์ สรุปแล้ว กระบวนการที่ใช้ในการอยู่ไฟของหญิงหลังคลอดบุตรมีประโยชน์ต่อมารดาและทารก ไม่ขัดแย้งและส่วนใหญ่สอดคล้องกันในทางการแพทย์ มีข้อควรระวังอยู่บ้างในกรณีความร้อน อย่าให้มากเกินจนเกิดอันตรายต่อผิวหนัง หรือทำให้อ่อนเพลียมากจากการเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไป การงดอาหารแสลงมากเกินควรจนทำให้ขาดอาหาร เป็นต้น” ว่าไปแล้ว ภูมิปัญญาเรื่องการอยู่ไฟหลังคลอดของคนไทย มีกรรมวิธีประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทุกภูมิภาคของเมืองไทย จุดประสงค์ก็เพื่อดูแลรักษาสุขภาพของแม่ภายหลังคลอด เพียงแต่รายละเอียดในการปฏิบัติอาจจะแปลกแตกต่างกันออกไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาถึงความเชื่อ ความรู้ ความคิด และแนวปฏิบัติเหล่านั้นว่ายึดถือปฏิบัติกันอยู่อย่างไร เพื่อว่า หากใครสนใจจะนำไปยึดถือปฏิบัติ จะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารรายปักษ์คู่สร้าง-คู่สม ปีที่ 27 ฉบับที่ 518 ประจำเดือน มกราคม พ.ศ. 2549

"อยู่ไฟ" นั้น... สำคัญไฉน??

“การอยู่ไฟ” เป็นวิธีที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักให้หญิงที่เพิ่งคลอดอยู่ไฟเพื่อให้มดลูกกลับเข้าอู่และเป็นวิธีที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณ ทุกวันนี้การอยู่ไฟหลังคลอดก็ยังเป็นที่นิยมของคุณแม่หลังคลอดอยู่ เพราะการอยู่ไฟจะช่วยให้คุณแม่มีทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณหน้าตาสดใสเหมือนก่อนตั้งครรภ์

ทำไมคุณแม่หลังคลอดต้องอยู่ไฟ?? เพราะหลังคลอดลูก ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการเศร้าหมอง เนื่องจากสภาพฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งความเหนื่อยล้า เจ็บปวดและความวิตกกังวลในการเลี้ยงลูก ในอดีตหญิงหลังคลอดจึงใช้วิธีการดูแลตัวเองด้วยการอยู่ไฟซึ่งจะทำให้เกิดผลดีในภาพรวม ตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่า การอยู่ในที่ร้อน ดื่มน้ำร้อน อาบน้ำร้อน เป็นการพักฟื้นเพื่อสะสมกำลังให้สุขภาพร่างกายแข้งแรง ทำงานหนักได้ ไม่ปวดเมื่อย ต่อสู้กับโรคภัยต่างๆได้ ไม่มีอาการหนาวสะท้านเมื่อถูกลมฝน ซึ่งผลกระทบต่างๆอาจจะไม่เห็นทันทีแต่จะปรากฏให้เห็นเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้การอยู่ไฟยังช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว มีน้ำนมมาก ทำให้ลูกสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ส่วนวิธีการอยู่ไฟนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้

1. การนั่งถ่าน หรือการรมควันสมุนไพรคือการใช้ควันที่เกิดจากการเผาสมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะในการกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำความสะอาดแผลฝีเย็บและช่องคลอด สมานแผลบรรเทาอาการเจ็บปวดแผลตามกรรมวิธีโบราณ

2. การเข้ากระโจมคือการนำสมุนไพรสดหรือแห้งหลายชนิดมาต้มในกระโจม เพื่อให้ได้ไอน้ำจากการต้ม ซึ่งจะต้องอยู่ในที่มิดชิดเพื่อให้ร่างกายได้รับไอน้ำอย่างทั่วถึง

3. การประคบสมุนไพรเป็นวิธีการที่ช่วยทำให้แผลฝีเย็บแห้งดีและลดการอักเสบ ลดการคัดของเต้านม ทั้งยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อย หลังคลอดบุตร 7 วัน สามารถประคบด้วยลูกประคบ ซึ่งมีตัวยาหลักคือ ไพล ตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชันผิวมะกรูด เถาขมิ้นอ่อน ใบส้มป่อย ใบมะขาม การบูร

4. การทับหม้อเกลือเป็นการดูแลคุณแม่หลังคลอดให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้น้ำคาวปลาไหลสะดวกบรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยลดไขมันสะสมที่หน้าท้อง โดยการนำเกลือสมุทรใส่หม้อดินตั้งไฟให้ร้อนแล้วนำมาสมุนไพรเช่น ไพล ว่านนางคำ ว่านชักมดลูก ใบพลับพลึง เป็นต้นใช้ผ้าห่อแล้วนำมาประคบตามหน้าท้อง แขน ขา น่อง ความร้อนจากหม้อเกลือจะค่อยๆ ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและสกัดสมุนไพรสดชื่นซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย มีตัวยาออกฤทธิ์โดยตรงต่อสุขภาพการทับหม้อเกลือหลังคลอดลูกนั้น

กรณีคลอดธรรมชาติควรทำหลังจากการคลอดไม่เกิน 14 วัน ส่วนกรณีผ่าตัดคลอดสามารถทำได้เมื่อครบ 1 เดือนนอกจากนี้ ยังมีการบำรุงร่างกายด้วยอาหารทีมี่ประโยชน์ เช่น ข้าวซ้อมมือที่อุดมไปด้วยวิตามิน รับประทานปลาให้มากเพราะโปรตีนจากปลานั้นย่อยง่าย รับประทานผักสมุนไพรเพื่อเพิ่มน้ำนม เช่น แกงเลียง บวบ ตำลึง หัวปลีเป็นต้น และควรงดอาหารรสจัด อาหารหมักดองเห็นไหมคะว่าการอยู่ไฟนั้นทั้งสำคัญและมีประโยชน์มากเลยทีเดียวสำหรับคุณแม่เพิ่งคลอด เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวเร็ว สุขภาพแข็งแรงได้ดังเดิม เพื่อที่จะได้มีกำลังวังชาเอาไว้รับมือกับเจ้าตัวน้อยต่อไปคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก บางกอกทูเดย์